หลักการออกแบบเว็บไซต์

หลักการออกแบบเว็บไซต์
เว็บไซต์เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่ามากบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเว็บไซต์เป็นสื่อที่อยู่ในความควบคุมของผู้ใช้โดยสมบูรณ์ กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะดูเว็บไซต์ใดและจะไม่เลือกดูเว็บไซต์ใด ได้ตามต้องการ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่มีความอดทนต่ออุปสรรคและปัญหาที่เกิดจากการออกแบบเว็บไซต์ผิดพลาดถ้าผู้ใช้เห็นว่าเว็บที่กำลังดูอยู่นั้นไม่มีประโยชน์ต่อตัวเขา หรือไม่เข้าใจว่าเว็บไซต์นี้จะใช้งานอย่างไร เขาก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปดูเว็บไซต์อื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากในปัจจุบันมีเว็บไซต์อยู่มากมาย และยังมีเว็บไซด์ที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ทุกวัน ผู้ใช้จึงมีทางเลือกมากขึ้น และสามารถเปรียบเทียบคุณภาพของเว็บไซด์ต่าง ๆ ได้เอง
เว็บไซด์ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีการใช้งานที่สะดวก ย่อมได้รับความสนใจจากผู้ใช้ มากกว่าเว็บไซด์ที่ดูสับสนวุ่นวาย มีข้อมูลมากมายแต่หาอะไรไม่เจอ นอกจากนี้ยังใช้เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้านานเกินไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการออกแบบเว็บไซด์ไม่ดีทั้งสิ้น
ดังนั้น การออกแบบเว็บไซด์จึงเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างเว็บไซด์ ให้ประทับใจผู้ใช้ ทำให้เขาอยากกลับเข้ามาเว็บไซด์เดิมอีกในอนาคต ซึ่งนอกจากต้องพัฒนาเว็บไซด์ที่ดีมีประโยชน์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงการแข่งขันกับเว็บไซด์อื่น ๆ อีกด้วย

 องค์ประกอบของการออกแบบเว็บไซต์ 
การออกแบบเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องคำนึงถึง องค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้
1. ความเรียบง่าย (Simplicity)
หมายถึง การจำกัดองค์ประกอบเสริมให้เหลือเฉพาะองค์ประกอบหลัก กล่าวคือในการสื่อสารเนื้อหากับผู้ใช้นั้น เราต้องเลือกเสนอสิ่งที่เราต้องการนำเสนอจริง ๆ ออกมาในส่วนของกราฟิก สีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ต้องเลือกให้พอเหมาะ ถ้าหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ได้รับการออกแบบที่ดี ได้แก่ เว็บไซต์ของบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่น Apple Adobe Microsoft หรือ Kokia ที่มีการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวก
2. ความสม่ำเสมอ ( Consistency)
หมายถึง การสร้างความสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นตลอดทั้งเว็บไซต์ โดยอาจเลือกใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ เพราะฉะนั้นการออกแบบเว็บไซต์ในแต่ละหน้าควรที่จะมีรูปแบบ สไตล์ของกราฟิก ระบบเนวิเกชั่น (Navigation) และโทนสีที่มีความคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บไซต์
3. ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity)
ในการออกแบบเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือขององค์กรได้
4. เนื้อหา (Useful Content)
ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาต้องเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เนื้อหาที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และไม่ไปซ้ำกับเว็บอื่น เพราะจะถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ แต่ถ้าเป็นเว็บที่ลิงค์ข้อมูลจากเว็บอื่น ๆ มาเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทราบว่า ข้อมูลนั้นมาจากเว็บใด ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาใช้งานลิงค์เหล่านั้นอีก
5. ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation)
เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ระบบเนวิเกชั่นจึงเปรียบเสมือนป้ายบอกทาง ดังนั้นการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ดีเมื่อมีเนวิเกชั่นที่เป็นกราฟิกก็ควรเพิ่มระบบเนวิเกชั่นที่เป็นตัวอักษรไว้ส่วนล่างด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ยกเลิกการแสดงผลภาพกราฟิกบนเว็บเบราเซอร์
6. คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal)
ลักษณะที่น่าสนใจของเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ แต่โดยรวมแล้วก็สามารถสรุปได้ว่าเว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น
7. ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compatibility)
การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม นอกเหนือจากเว็บบราวเซอร์ ควรเป็นเว็บที่แสดงผลได้ดีในทุกระบบปฏิบัติการ สามารถแสดงผลได้ในทุกความละเอียดหน้าจอ ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากและกลุ่มเป้าหมายหลากหลายควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก
8. ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability)
ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวก ๆ ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล ถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ
9. ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability)
ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์อื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดจากลิงค์ ก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งพบได้บ่อยเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก

ในการออกแบบเว็บไซต์นั้นประกอบด้วยกระบวนการต่าง ๆ มากมาย เช่น การออกแบบโครงสร้าง ลักษณะหน้าตา หรือการเขียนโปรแกรม แต่มีหลายคนที่พัฒนาเว็บไซต์ โดยขาดการวางแผนและทำงานไม่เป็นระบบ ตัวอย่างเช่น การลงมือออกแบบโดยการใช้โปรแกรมช่วยสร้างเว็บ เนื้อหาและรูปแบบก็เป็นไปตามที่นึกขึ้นได้ขณะนั้น และเมื่อเห็นว่าดูดีแล้วก็เปิดตัวเลย ทำให้เว็บนั้นมีเป้าหมายและแนวทางที่ไม่แน่นอน ผลลัพธ์ที่ได้จึงเสี่ยงกับความล้มเหลวค่อนข้างมาก
ความล้มเหลวที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ เว็บที่แสดงข้อความว่าอยู่ระหว่างการก่อสร้าง (Under Construction หรือ Coming soon) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดการวางแผนที่ดีบางเว็บถือได้ว่าตายไปแล้ว เนื่องจากข้อมูลไม่ทันสมัย ขาดการพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีล้าสมัย ลิงค์ผิดพลาด สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขาดการดูแล ตรวจสอบและพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ
การออกแบบเว็บไซต์อย่างถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดเหล่านี้ และช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้เว็บประสบความล้มเหลว การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีต้องอาศัยการออกแบบและจัดระบบข้อมูลอย่างเหมาะสม
กระบวนการแรกของการออกแบบเว็บไซต์คือการกำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์กำหนดกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งการจะให้ได้มาซึ่งข้อมูล ผู้พัฒนาต้องเรียนรู้ผู้ใช้ หรือจำลองสถานการณ์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถออกแบบเนื้อหาและการใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเหมาะสม ตรงกับความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง

Posted in Uncategorized | Leave a comment

เทคนิคการตกแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์

เทคนิคการตกแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์.

Posted in Uncategorized | Leave a comment

เทคนิคการตกแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์

เทคนิคการตกแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ด้วย Slide

สมาชิก ReadyPlanet หลายท่าน มีการเลือกแสดงหน้าแรกของเว็บไซต์ (Intro Page) เพื่อเป็นหน้าต้อนรับก่อนเข้าสู่เว็บไซต์จริงของท่าน แต่อาจจะยังไม่ทราบว่าจะตกแต่งหน้าแรกอย่างไรให้น่าสนใจ  วันนี้ Tips & Tricks ขอนำเสนอเทคนิคการตกแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วย Code Slide   จากเว็บไซต์ที่ให้บริการสไลด์โชว์คือ www.sanook.com  มาแนะนำ โดยมีขั้นตอนที่ไม่ยาก ดังนี้ค่ะ

1. เข้าเว็บไซต์ www.sanook.com และเริ่มตกแต่งสไลด์ตามขั้นตอน ดังนี้

1.1  คลิกปุ่ม Browse เลือกรูปภาพที่ต้องการจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน
1.2  คลิกปุ่ม Submit จากนั้นรอระบบอัพโหลดรูปภาพ
1.3  ตกแต่ง Slide โดยจะมี Effect ต่าง ๆ ให้เลือกใช้ตามต้องการ
1.4  เมื่อตกแต่งเรียบร้อยแล้ว คลิก ยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน และ บันทึกเพื่อรับรหัส Code HTML แสดงภาพสไลด์ค่ะ
2. ที่หน้าเว็บเพจรับรหัสแสดงภาพสไลด์ ให้ท่าน Copy Code HTML ที่ปรากฎ ดังรูป (ในขั้นตอนนี้ ท่านสามารถบันทึกสไลด์เพื่อแก้ไขปรับปรุงในภายหลังด้วย My Widget ของ Sanook ได้ด้วยค่ะ)

3. วิธีการนำ Code Slide มาแสดงบนหน้าเว็บไซต์ของท่าน ให้ท่าน Log in เข้าส่วนสมาชิก จากนั้นที่เมนู “จัดการเว็บไซต์” คลิกเลือก “Intro Page ของเว็บไซต์”

4. เข้าสู่หน้า Intro page ของเว็บไซต์  ทำการตั้งค่าดังนี้

4.1  ที่หัวข้อ Intro Page ของเว็บไซต์ ให้เลือกตั้งค่า “แสดงหน้า Intro Page”
4.2  คลิกแท็บ “รายละเอียด Intro Page”
4.3 คลิกเครื่องมือ   (Source)
4.4 จากนั้น วางโค้ด Slide ที่คัดลอกมาในช่องรายละเอียด (หากต้องการใส่ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม ให้คลิกเครื่องมือ Source อีกครั้ง และทำการใส่ข้อมูลตามต้องการ ดูรายละเอียด วิธีการตกแต่ง Intro Page ของเว็บไซต์ เพิ่มเติม คลิกที่นี่)
4.5  คลิก “ตกลง” เพื่อบันทึก5. การแสดงผลหน้าแรกของเว็บไซต์ (Intro Page) ด้วย Slide

หมายเหตุ :

ท่านสามารถนำโค้ด Slide นี้ไปตกแต่งส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ นอกเหนือจากหน้า Intro Page เช่น รายละเอียดบทนำ  เนื้อหาของบทความ พื้นที่แบนเนอร์ หรือพื้นที่ด้านล่างของเว็บไซต์ เป็นต้น ได้ตามต้องการค่ะ

อย่างไรก็ตาม ReadyPlanet ไม่แนะนำให้นำ code จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เสถียรภาพของเว็บไซต์ไม่ดี หรือมี server อยู่ต่างประเทศ เนื่องจากการเปิดหน้าเว็บไซต์ของท่่าน จะขึ้นกับความเร็ว และเสถียรภาพของระบบของเว็บไซต์ที่ท่านนำ code มาติดตั้งด้วย เช่น หาก server ของ code ที่นำมาติดล่ม หรือโหลดช้า จะทำให้เว็บของท่านเปิดไม่ได้หรือโหลดช้าด้วย หากพบปัญหาเกิดขึ้น วิธีการแก้ไขคือ เข้าไปลบ code ต่าง ๆ เหล่่านี้ออก เว็บไซต์ของท่านก็จะทำงานได้ตามปกติ
แม้ว่าทางทีมงาน ReadyPlanet จะไม่สามารถ Support โปรแกรมตกแต่งเว็บไซต์อื่น ๆ หรือโปรแกรมตกแต่งรูปภาพต่าง ๆ ให้ท่านได้โดยตรง แต่ท่านสามารถดูรายละเอียด เทคนิคการตกแต่งเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ที่  ReadyPlanet HowTo ค่ะ

 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

วิธีทำหนังสือทำมือ

วิธีทำหนังสือทำมือ

หนังสือทำมือคืออะไร? หนังสือทำมือคือหนังสือที่เราขีด ๆ เขียน ๆ เอาเอง ทำต้นฉบับเอง ซีร็อกเอง เย็บเล่มเอง โดยไม่ผ่านโรงพิมพ์ โดยไม่มีรูปแบบตายตัวที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์ของผู้จัดทำ หนังสือทำมือนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักอยากเขียน ที่พยายามอยากจะเผยแพร่งานเขียน – ความคิดสู่สาธารณชน ซึ่งแน่นอนที่นักอยากเขียนเหล่านั้นเป็นผู้ที่ซึ่งมีอิสระในการถ่ายทอดทุกความรู้สึกผ่านมันสมองและสองมือ โดยปราศจากกฏเกณฑ์และเป็นอิสระจากการถูกควบคุมทางกลไกของการตลาดด้านสิ่งพิมพ์ หนังสือทำมือเริ่มจากคนกลุ่มเล็ก ๆ และขยายวงกว้างแทรกซึมไปในมุมหนึ่งของสังคม เป็นอีกกระแสหนึ่งที่น่าจับตา

 คนเขียนเองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงเสน่ห์ของงานทำมือ -ทำด้วยหัวใจ ครั้งแรกที่มีพี่ ๆ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของการทำหนังสือทำมือก็ได้แต่งง ยิ่งมีคนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามงานเขียนของคนเขียนเองแนะนำให้ทำหนังสือทำมือก็ตกใจ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? ก่อนอื่นก็มีพี่ใจดีส่งหนังสือทำมือของนักเขียนอิสระมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อีกทั้งลูกสาวเจ้านายก็เอื้ออารีนำของเพื่อนมาให้คนเขียนดู นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่คนเขียนได้ทำความรู้จักกับหนังสือทำมือ

 หนังสือทำมือเล่มแรกของคนเขียน ชื่อ”ที่มากับสายฝนและลมหนาว” เป็นหนังสือทำมือที่คนเขียนคิด((เอาเอง))ว่าน่ารักมาก วาดรูปปกเองทุกเล่ม ปกก็ทำจากระดาษหอม ทำออกมาแล้วก็ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจนต้องทำออกมา 2 -3 ครั้งด้วยกัน รวมแล้วมากกว่า 100 เล่ม แต่ตลกมากที่ครั้งแรกคนเขียนตั้งราคาไว้ที่เล่มละ 50 บาท ส่งฟรี แต่เฮ้ยยย!! ชักจะเข้าเนื้อตัวเองมากไป เลยต้องเขยิบราคาขึ้นมาที่ 70 บาท ส่งฟรี (( ณ ตอนนั้นส่งลงทะเบียนนะเอ้า!! )) แทบจะไม่ได้อะไรเลยค่ะ แต่ช่วงนั้นคนเขียนเนื้อหอมพอประมาณ พี่ ๆ ผู้ซึ่งติดตามงานเขียนก็ล้วนแล้วแต่ใจดี มีพี่อยู่คนเหมา 5 เล่ม จ่ายเงิน 1 พันบาท เพื่อนคนหนึ่งซื้อ 2 เล่มจ่าย 1พันบาท บางคนก็ซื้อ 5 เล่ม จ่ายเงิน 500 บาท ก็พอจะกล้อม ๆ แกล้ม ๆ ไปได้ บรรดาพี่ ๆ ที่จ่ายแพงส่วนมากบอกว่าสนับสนุนให้ได้ทำงานออกมาอีกในครั้งต่อไปค่ะ สาธุ!!

 เวลาผ่านไป 1 ปี บรรดาแฟน ๆ เรียกร้องให้มีหนังสือทำมือเล่มสองออกมาอีก (( แฮ่ะ ๆ ๆ คนเขียนขี้โม้ไปงั้นล่ะค่ะ ))ก็เลยจัดทำหนังสือทำมือเล่มที่สองออกมา แล้วทีนี้ก็เครียดมาก ด้วยคนเขียนไม่อยากจะให้ซ้ำกับรูปแบบการทำหนังสือทำมือทั่วไปที่ดูแล้วแสนจะธรรมดา และแล้วในที่สุด..หนังสือทำมือเล่มที่สอง ” ยินดีที่ได้รัก “ก็ออกมาสู่สายตาแฟนคลับจนได้ โฮ่ะ ๆ ๆ แต่แหม..กว่าจะออกมาได้ก็ต้องเอามือปาดเหงื่อไปหลายรอบค่ะ นอนคิดหลายตลบว่าจะทำออกมาแบบไหนดี ให้น่ารักเหมือนตัวคนเขียน อิอิ อันนี้ล้อเล่นเจ้าค่ะ ที่เครียดก็เพราะว่าคนเขียนอยากจะทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่อยากให้คนที่สนับสนุนและคอยติดตามงานของคนเขียนนั้นผิดหวัง เพราะฉะนั้นต้องดีกว่าเดิมค่ะ เลยออกมาเป็นเล่มนี้ ตั้งราคาไว้ที่ 150 บาท แพงจังเนอะ แต่แถมโปสการ์ด 1ชุดแน่ะ ซึ่งโปสการ์ดน่ะปกติชุดละ 100 บาทนะจ๊ะ จะบอกให้ แถมกันเข้าไป แต่ดีที่พี่ ๆ ที่น่ารักให้ค่าหนังสือทำมือมาเกินบ้าง ไม่งั้นคนเขียนต้องชักเนื้อหนัก ปกทำจากกระดาษหอม ขนาดเท่าฝ่ามือ น่ารักมาก ๆ (( อีกแล้ว – แหม ก็เขาว่ากันอย่างนี้นี่นา โฮ่ะ ๆ ๆ ))

หนังสือทำมือเล่มที่ 2 ยินดีที่ได้รัก

ปีต่อมา คนเขียนก็เครียดหนักกว่าเดิม ก็ถึงเวลาทำหนังสือทำมืออีกแล้วสิ เลยกลายเป็นว่าคนเขียนต้องทำหนังสือทำมือออกมาทุกปีคล้ายเป็นประเพณีไปเสียแล้ว ปกติคนเขียนจะต้องทำหนังสือให้เสร็จสู่สายตาบรรดาแฟน ๆ ที่คิดผิดติดตามกันมาด้วยความเอ็นดูหรือหมั่นไส้ก็ไม่รู้ให้ทันช่วงต้นปี แต่เล่มที่สามนี้ ” แค่ได้เคยรักกัน ฉันก็พอใจ ” ก็กินเวลาเลยเถิดจนถึงเดือนเมษายน จนหลายคนเลิกทวงไป คงคิดกันว่าทวงมันไปก็เท่านั้น เสร็จเมื่อไหร่มันก็มาประกาศหราเองว่าหนังสือทำมือหนูเสร็จแร่ะจ้า แฮ่ะ ๆ ๆ ทำปกกระดาษมา 2 เล่มแล้ว ปีนี้น่าจะมีอะไรที่ดูแปลกใหม่อลังการให้สมกับที่เป็นหนังสือทำมือของzodiac สิ แต่จะทำอย่างไรล่ะ? นอนเอามือก่ายหน้าผากเป็นเดือน จนเอ๊ะ เราชอบผ้าฝ้ายนี่หว่า งั้นทำปกเป็นผ้าฝ้ายสิ โอ เย้ ไปหาซื้อผ้าฝ้ายทำมือสีม่วง ก็สีม่วงเป็นสีโปรดนี่ ไปปิ๊งผ้าฝ้ายใยกัญชา ซื้อกระดาษแข็ง ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นจะต้องใช้ (( ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้อะไรมั่ง )) ลองเอามาทำปก แล้วก็ได้ออกมาสวยสมใจ ใคร ๆ เห็นก็ชื่นชอบและชื่นชม ล้วนแต่บอกว่าคนเขียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆปี

มาค่ะ มาลองหัดทำดูนะคะ หนังสือทำมือของคนเขียนทำไม่ยากค่ะ และยังดัดแปลงไปทำเป็นสมุดไดอารี่ไว้จดโน่น – จดนี่ ทำเป็นของขวัญให้คนที่เรารักได้อีกแน่ะ

วัสดุอุปกรณ์

1.ผ้าฝ้ายใยกัญชา หรือผ้าชนิดอื่น สำหรับหุ้มทำปก

2. ฟองน้ำ สำหรับรองด้านในปกหน้า

3. กระดาษแข็ง สำหรับทำปก

4. กาวสเปรย์ / กาวลาเทกซ์ /พู่กัน

5. เข็ม / ด้าย

6. กระดุม

7. ยางรัดผม เลือกเฉดสีที่เข้ากันกับสีของผ้า

8. หนังสือหรือสมุดที่จะใช้ทำ ตัดแต่งขนาดและเย็บให้เรียบร้อย

วิธีทำ

1. ตัดกระดาษแข็งให้ได้ขนาดใหญ่กว่าด้านใน ((หมายถึงสมุดหรือหนังสือที่ทำ – เย็บเล่ม ไว้แล้ว )) ตัดออกเป็น3 ส่วน ดังรูปประกอบ คือด้านซ้ายขวาและแกนกลาง ส่วนของด้านหน้าพ่นกาวสเปรย์ติดฟองน้ำ ตัดให้ได้ตามขนาด

2. ตัดผ้าฝ้ายใยกัญชาที่ใช้ทำปก ให้มีขนาดกว้างกว่ากระดาษแข็งที่ตัดไว้แล้ว พ่นกาวสเปรย์ที่ตัวกระดาษแล้วนำไปวางบนผ้าฝ้ายใยกัญชาเพื่อให้มีการยึดติด ให้จัดวางตามรูปประกอบ แล้วพับลงมาตามขอบโดยติดกาวลาเทกซ์ไว้ด้านใน ตัดสายรัดผมมาทำที่คล้องปกดังตัวอย่างโดยใช้กาวลาเทกซ์และใช้กระดาษติดไว้กันหลุด เย็บกระดุมติดที่ปกหน้าโดยกะระยะให้พอดี
3. นำสมุดหรือหนังสือที่เย็บเล่มไว้แล้วมาติดกับปกให้แน่น โดยมีกระดาษแผ่นยาวยึดระหว่างตัวปกนอกกับปกใน
 
Posted in Uncategorized | Leave a comment

สมุนไพรไทย

หลากสรรพคุณ… 20 สมุนไพรไทยที่ใคร ๆ ก็รู้จัก

ว่านหางจระเข้

ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์

โดย “วุ้นในใบสด” สามารถนำมาบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คือ นำมาพอกแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แก้ปวดแสบปวดร้อน แผลเรื้อรัง รักษาผิวที่ถูกแดดเผา แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยถอนพิษได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานแผล แต่มีข้อแนะนำว่า ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวุ้นทาบริเวณท้องแขนด้านใน ถ้าผิวไม่คันหรือแดงก็ใช้ได้ นอกจากส่วนวุ้นในใบสดแล้ว ส่วน “ยางในใบ” ก็สามารถนำมาทำเป็นยาระบายได้ และส่วน “เหง้า” ก็นำไปต้มน้ำรับประทาน แก้โรคหนองในได้ด้วย

ขมิ้นชัน

เรียกกันทั่วไปว่า “ขมิ้น” เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม คนนิยมนำ “เหง้า” ทั้งสดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย

นอกจากนั้น “ขมิ้นชัน” ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ “คูเคอร์มิน” ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ “ขมิ้นชัน” ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย

ทองพันชั่ง

เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ “ทองพันชั่ง” หลายพื้นที่อาจเรียกว่า “ทองคันชั่ง” หรือ “หญ้ามันไก่” เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย

นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า “ทองพันชั่ง” มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน

กะเพรา

แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย

และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก

กระชายดำ

สมุนไพรแสนมหัศจรรย์ของท่านชาย (อิอิ) เพราะสรรพคุณของกระชายดำที่ได้รับการกล่าวขานกันมากก็คือ สรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศ หรือแก้โรคกามตายด้าน เนื่องจากฤทธิ์ของกระชายดำจะไปบำรุงกำลัง เพิ่มฮอร์โมนให้หนุ่ม ๆ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น
แต่ใช่ว่า กระชายดำ จะมีประโยชน์แค่เรื่องเพิ่มพลังทางเพศเท่านั้นนะ เพราะกระชายดำยังสรรพคุณมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหาร และบำรุงธาตุ แก้หัวใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียนแน่นหน้าอก แผลในปาก ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะ ฯลฯ และด้วยสรรพคุณอันแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ กระชายดำ เลยถูกขนานนามว่าเป็น “โสมไทย” ซึ่งนิยมปลูกมากจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเลยทีเดียว

ว่านชักมดลูก

มาที่พืชสมุนไพรสำหรับสาว ๆ กันบ้าง แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เหมาะกับคุณสุภาพสตรีเป็นที่สุด เพราะเหง้าของว่านชักมดลูกมีสรรพคุณช่วยขับประจำเดือนในสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ว่านชักมดลูกก็จะช่วยบีบมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ขับน้ำคาวปลา และรักษาโรคมดลูกพิการปวดบวมได้

นอกจากนั้น ว่านชักมดลูก ยังแก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ขณะที่รากของว่านชักมดลูกสามารถใช้แก้ท้องอืดเฟ้อได้อีกต่างหาก

กระเจี๊ยบแดง

หลายคนนำใบและยอดของกระเจี๊ยบแดงไปใส่ในแกง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหารแล้ว ใบกระเจี๊ยบแดงยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนดอกใช้แก้โรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด

แต่ส่วนที่มีสรรพคุณมากเป็นพิเศษก็คือ ส่วนกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล สามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต นำไปทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนียวข้นของเลือด ขับปัสสาวะ ป้องกันต่อมลูกหมากโตให้คุณผู้ชายได้ด้วย และมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากรับประทานกระเจี๊ยบแดงต่อเนื่อง 1 เดือน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย

มะขามป้อม

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลางที่จัดเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณเพียบในแทบทุกส่วนของต้น แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ ผลของมะขามป้อมจะมีรสเปรี้ยวมาก ๆ แต่ก็ชุ่มคอ และให้วิตามินซีสูงมากเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคนนำผลมะขามป้อมสดมาใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

นอกจากนั้นแล้ว ส่วน “ราก” ยังแก้พิษตะขาบกัด แก้ร้อนใน ลดความดันโลหิต แก้โรคเรื้อน ส่วนเปลือก แก้โรคบิด และฟกช้ำ ส่วนปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก แก้ปวดฟัน “ผลแห้ง” ใช้รักษาอาการท้องเสียง หนองใน เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด และส่วน “เมล็ด” ก็สามารถนำไปเผาไฟผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน แก้หืด หรือจะตำเมล็ดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบก็ได้

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ร้อนใน เพราะมีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หากรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย นอกจากเรื่องหวัดแล้ว ฟ้าทะลายโจรยังระงับอาการอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการท้องเสีย ลำไส้อักเสบ รักษาโรคตับ เบาหวาน โรคงูสวัด ริดสีดวงทวาร และรสขมของฟ้าทะลายโจรยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย

ข้อควรระวัง ก็คือ คนที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A , ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูห์มาติค , มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย, เป็นความดันต่ำ และสตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร และหากใครทานแล้วเกิดปวดท้อง ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรงได้

ย่านาง

ย่านางเป็นสมุนไพรรสจืด เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ดับพิษร้อน คนจึงนำใบย่านางไปคั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ปรับอุณหภูมิในร่างกาย และยังนำใบย่านางไปช่วยดับพิษไข้ ดับพิษของอาหาร แก้อาการผิดสำแดง แก้พิษเมา แก้เลือดตก แก้กำเดา ลดความร้อนได้ด้วย นอกจากใบแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของย่านางก็มีประโยชน์เช่นกัน ทั้ง “ราก” ที่ใช้แก้ไข้พิษ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ ไข้ทับระดู “เถาย่านาง” ใช้แก้ไข ลดความร้อนในร่างกาย

ขณะที่ข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุว่า ย่านาง ยังช่วยต้านมาลาเรีย ยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ ต้านฮีสตามีน ส่วนข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ย่านางมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย แถมยังอุดมไปด้วยเส้นในอาหาร แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส ย่านางจึงเป็นหนึ่งในจำนวนผักพื้นบ้านที่นักวิจัยแนะนำให้นำมาใช้ในรูปแบบอาหารเพื่อรักษาโรคมะเร็ง

มะรุม

พืชสมุนไพรสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารรับประทานแล้วได้รับสารอาหารอย่างวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม ใยอาหาร แล้ว มะรุม ยังเป็นยาวิเศษรักษาที่ทุกส่วนสามารถใช้รักษาได้สารพัดโรค

เริ่มจาก “ราก” ที่จะช่วยบำรุงไฟธาตุ แก้อาการบวม “เปลือก” ใช้ประคบแก้โรคปวดหลัง ปวดข้อ รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ “กระพี้” ใช้แก้ไขสันนิบาด “ใบ” มีแคลเซียม วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ “ดอก” ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย “ฝัก” ใช้แก้ไข้หัวลม “เมล็ด” นำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้รักษาโรคปวดข้อ โรคเกาท์ รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา และ “เนื้อในเมล็ดมะรุม” ใช้แก้ไอได้ดี รวมทั้งยังเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ด้วย หากรับประทานเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทานมะรุม

ชุมเห็ดเทศ

ไม้พุ่มขนาดกลาง มีดอกสีเหลือง จัดเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาก โดยชุมเห็ดเทศทั้งต้น มีฤทธิ์ขับพยาธิในลำไส้ รักษาซาง โรคผิวหนัง ถ่ายเสมหะ รักษาอาการฟกช้ำบวม รักษาริดสีดวง ดีซ่าน และฝี ส่วนลำต้น จะใช้เป็นยารักษาคุดทะราด กลากเกลื้อน ช่วยขับพยาธิ ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องผูก

นอกจากต้นแล้ว ใบชุมเห็ดเทศก็ได้รับความนิยมในคนที่มีอาการท้องผูกเช่นกัน เพราะสามารถนำใบซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ไปต้มน้ำกินได้ หรือจะใช้อมบ้วนปากก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากโดยเฉพาะโปตัสเซียม รวมทั้งอาจทำให้ดื้อยาได้ด้วย

บอระเพ็ด

เมื่อเอ่ยชื่อ “บอระเพ็ด” หลายคนคงรู้สึก “ขม” ขึ้นมาทันที แต่เพราะความที่เจ้าบอระเพ็ดมีรสขมนี่ล่ะ ถึงทำให้ตัวมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย ดังสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” 


อย่างเช่น “ราก” สามารถนำไปดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น ช่วยให้เจริญอาหาร “ต้น” ก็ช่วยแก้ไข้ได้เช่นกัน และยังช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้สะอึก แก้เลือดพิการ ส่วน “ใบ” นอกจากจะช่วยแก้ไข้ได้เหมือนส่วนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยแก้โลหิตคั่งในสมอง ขับพยาธิ แก้ปวดฝี ช่วยลดความร้อน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย

มาถึง “ดอก” ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู “ผล” ใช้แก้เสมหะเป็นพิษ แก้สะอึกได้ดี แต่ถ้านำทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล มารวมกัน “บอระเพ็ด” จะกลายเป็นยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว เพราะแก้อาการได้สารพัดโรค รวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร ฝีในมดลูก เบาหวาน ฯลฯ

เสลดพังพอน

“เสลดพังพอน” มี 2 ชนิด คือ “เสลดพังพอนตัวผู้” และ “เสลดพังพอนตัวเมีย” ซึ่งทั้งสองชนิดมีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้ถอนพิษ แต่ “เสลดพังพอนตัวผู้” จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า และส่วนใบจะมีรสขมกว่า

ลองไปดูสรรพคุณของ “เสลดพังพอนตัวผู้” กันก่อน “ราก” ช่วยแก้ตาเหลือง ตัวเหลือง กินข้าวไม่ได้ ถอนพิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดฟัน ส่วน “ใบ” ก็ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย และยังแก้ปวดแผล แผลจากของมีคมบาด แก้โรคฝี โรคคางทูม ไฟลามทุ่ง งูสวัด เริม ฝีดาษ แก้ฟกช้ำ น้ำร้อนลวก ยุงกัด แก้ปวดฟัน เหงือกบวม

ส่วน “เสลดพังพอนตัวเมีย” จะนำรากมาปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยที่เอว ส่วน “ใบ” ซึ่งมีรสจืดจะนำมาสกัดทำเป็นยาใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริม แผลร้อนในในปาก แผลน้ำร้อนลวกได้ นอกจากนั้น ส่วนทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล สามารถใช้ถอนพิษต่าง ๆ ได้ดี ทั้งพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก

มะแว้ง

มีทั้ง “มะแว้งต้น” และ “มะแว้งเครือ” ที่มีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ เราจึงมักเห็นมะแว้งถูกนำมาผสมเป็นยาอมช่วยแก้ไอ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไอแล้ว สามารถใช้ได้ทั้ง ราก ใบ ผล นอกจากนั้น ยังช่วยลดน้ำลายเหนียว บำรุงธาตุ รักษาวัณโรค แก้คอแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางไตและกระเพาะปัสสาวะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้โรคหอบหืดได้ด้วย


นอกจากนั้น ลูกมะแว้งเครือสามารถนำไปปรุงอาหาร ทานเป็นผักได้ ส่วนลูกมะแว้งต้นก็ใช้ปรุงอาหารได้เช่นกัน แต่คนนิยมน้อยกว่าลูกมะแว้งเครือ 

รางจืด

เมื่อพูดถึงสมุนไพรถอนพิษ หลายคนนึกถึง “รางจืด” หรือ “ว่านรางจืด” ทันที เพราะส่วนใบและรากของรางจืดสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษยาฆ่าแมลงได้ มีประโยชน์ในเวลาที่หากใครเกิดเผลอทานยาฆ่าแมลง ยาพิษ หรือยาเบื่อเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และอยู่ไกลโรงพยาบาล การทานรากรางจืดก็จะช่วยบรรเทาพิษในเบื้องต้นได้ 

นอกจากนั้นแล้ว รางจืด ยังสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ พิษแอลกอฮอล์ พิษสำแดง บรรเทาอาการเมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำได้ แล้วรู้ไหมว่า ยังมีงานวิจัยจากกลุ่มหมอพื้นบ้านพบว่า การนำรางจืดไปต้มแล้วนำมาอาบจะช่วยทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง และหากนำรากรางจืดมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำไปทาหน้า จะทำให้หน้าขาว ไม่มีสิวฝ้าอีกด้วย อุ้ย…สาว ๆ ยิ้มเลยทีนี้

กระวาน

เป็นสมุนไพรไทยที่มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ มักพบขึ้นอยู่ตามป่าที่มีความชื้นสูง เช่น ป่าแถบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งแถบจังหวัดตราด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสรรพคุณหลัก ๆ คือ ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผสมในยาถ่ายเป็นใช้ช่วยถ่ายท้องได้ 

นอกจากนั้น “ราก” ยังช่วยฟอกโลหิต แก้ลม รักษาโรครำมะนาด “เมล็ด” ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ “เหง้าอ่อน” ใช้รับประทานเป็นผัก “หัวและหน่อ” ช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกทางผิวหนัง “แก่น” ใช้ขับพิษร้าน รักษาโรคโลหิตเป็นพิษ “กระพี้” รักษาโรคผิวหนัง บำรุงโลหิต ส่วน “ใบ” ใช้แก้ลมสันนิบาต ขับเสมหะ แก้ไข้เซื่องซึม แก้จุกเสียด บำรุงกำลัง “ผลแก่” มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร มีฤทธิ์ขับลม ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

กานพลู

ใครที่ปวดฟัน นี่คือสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี โดยตามตำรับยา ให้นำดอกที่ตูมไปแช่เหล้าขาว แล้วเอาสำลีไปชุบน้ำมาอุดรูฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยในกานพลูมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ หรือจะเคี้ยวทั้งดอกแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้ นอกจากนั้น ยังนำไปผสมน้ำเป็นน้ำยาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปาก แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดได้

กานพลูยังมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดท้อง กานพลู ก็ช่วยลดอาการปวดท้อง ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดจากการย่อยอาหารได้ เพราะจะไปช่วยขับน้ำดีมาย่อยไขมันได้มากขึ้น แถมยังกระตุ้นการหลั่งเมือก และลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารได้ด้วย

หญ้าหนวดแมว

ไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีสรรพคุณไม่น้อย โดย “ราก” สามารถใช้ขับปัสสาวะได้ “ใบ” ใช้รักษาโรคไต ช่วยขับกรดยูริกออกจากไต รักษาโรคเบาหวาน อาการปวดหลัง ไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต “ต้น” ก็ใช้แก้โรคไต ขับปัสสาวะได้เช่นกัน และยังช่วยรักษาโรคนิ่ว โรคเยื่อจมูกอักเสบได้ โดยนำต้นสด หรือต้นแห้ง หรือใบอ่อน หรือใบตากแห้ง ไปชงกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ห้ามนำไปต้ม และไม่ควรใช้ใบแก่ หรือใบสด เพราะมีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้ใจสั่นและคลื่นไส้ได้

ข้อควรระวังก็คือ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไต ห้ามรับประทาน เพราะในหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูงมาก และไม่ควรรับประทานหญ้าหนวดแมวร่วมกับแอสไพริน เพราะจะยิ่งทำให้ยาจำพวกแอสไพรินไปจับกล้มเนื้อหัวใจมากขึ้น

บัวบก

หลายคนอาจเคยดื่มน้ำใบบัวบก ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วช่วยแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ลดการกระหายน้ำได้ดีนักแล ซึ่งนอกจากใบบัวบกจะนำมาคั้นน้ำดื่มได้แล้ว ยังสามารถนำไปทาแผล ช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำของแผลได้ด้วย เพราะในใบมีกรดมาดีคาสสิค (madecassic acid) และกรดเอเซียติก (asiatic acid) ที่มีฤทธิ์สมานแผน ไม่ว่าจะเป็นแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลหลังผ่าตัด ใบบัวบกจะช่วยการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ทานตะวัน

ทานตะวันเป็นพืชน้ำมันที่สำคัญทางเศรษฐกิจรองจากถั่วเหลือง และปาล์มน้ำมัน ทานตะวันค่อนข้างทนแล้งได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับพืชไร่ชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และถั่วเขียว เมล็ดทานตะวันมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ส่วนกากที่ได้หลังจากสกัดน้ำมันแล้วมีโปรตีน 40-50 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม และมีสาร antioxidants กันหืนได้ดีสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น เนื่องจากน้ำมันทานตะวันมีคุณค่าสูง จึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อการบริโภค และใช้ในอุตสาหกรรมเช่น น้ำมันชักเงา น้ำมันหล่อลื่น สีทาบ้าน ส่วนลำต้นทานตะวันสามารถนำไปทำกระดาษคุณภาพดี

ปัญหาของพืช ข้อจำกัด และโอกาส

• ขาดพันธุ์คุณภาพดีของทางราชการ แม้ว่าหลายหน่วยงานได้ทำการวิจัย ทานตะวันมานานกว่า 30 ปี แต่ยังไม่มีพันธุ์ทานตะวันที่จะส่งเสริมให้ เกษตรกรปลูก
• ราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ค่อนข้างสูงประมาณ 180-240 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 20-25 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนการผลิต
• การปลูกทานตะวันในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
• ผลผลิตทานตะวันค่อนข้างต่ำ

พันธุ์

การเลือกพันธุ์
• ผลผลิตสูง คุณภาพดี และตรงตามความต้องการของตลาด
• ต้านทานต่อศัตรูพืช
• เจริญเติบโตดี เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศที่ปลูก

พันธุ์ที่นิยมปลูก

พันธุ์สำหรับใช้สกัดน้ำมัน
แปซิฟิก 33
เป็นพันธุ์ลูกผสมนำเข้าจากต่างประเทศ มีความสามารถในการผสมตัวเอง เปอร์เซ็นต์ติดเมล็ด 96 เปอร์เซ็นต์ อายุดอกบาน 58 วัน อายุเก็บเกี่ยว 92 วัน เส้นผ่าศูนย์กลางจานดอก 13 เซนติเมตร ผลผลิต 218 กิโลกรัมต่อไร่ น้ำหนัก 1000 เมล็ด 49 กรัม เมล็ดสีดำลายเทา น้ำมันในเมล็ด 39 เปอร์เซ็นต์

พันธุ์เชียงใหม่ 1
เป็นพันธุ์ผสมเปิด (พันธุ์สังเคราะห์) ที่พัฒนาขึ้นในประเทศ เปอร์เซ็นต์ติดเมล็ด 90 เปอร์เซ็นต์ อายุดอกบาน 58 วัน อายุเก็บเกี่ยว 100 วัน เส้นผ่าศูนย์กลางจานดอก 15 เซนติเมตร ผลผลิต 203 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิต 203 กิโลกรัมต่อไร่ น้ำหนัก 1000 เมล็ด 48 กรัม เมล็ดสีดำ น้ำมันในเมล็ด 35 เปอร์เซ็นต์

พันธุ์สำหรับใช้ขบเคี้ยว
พันธุ์แม่สาย
เป็นพันธุ์ผสมเปิด อายุดอกบาน 64 วัน ขนาดจานดอกค่อนข้างใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 19 เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว 107 วัน ให้ผลผลิตดีที่สุดในเขตภาคเหนือ 309 กิโลกรัมต่อไร่ มีขนาดเมล็ดค่อนข้างใหญ่ ขนาดเมล็ดหลังกะเทาะ กว้างx ยาว x หนา เท่ากับ 1.3 x 0.5 x 0.2 เซนติเมตร น้ำหนัก 1000 เมล็ด 112 กรัม น้ำมันในเมล็ดค่อนข้างต่ำ 33 เปอร์เซ็นต์

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

• พื้นที่ดอน หรือที่ลุ่มไม่มีน้ำท่วมขัง มีความลาดเอียงไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์
• ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร
• ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียว หรือดินเหนียว มีการระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศดี
• ดินควรมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรีย์วัตถุไม่ต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
• ค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 6.0-7.5
• อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 18-35 องศาเซลเซียส
• ปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ 800-1,200 มิลลิเมตรตลอดปี

การปลูก

ฤดูปลูก
• ในสภาพไร่ ปลูกในช่วงปลายฤดูฝน เดือนกันยายน-กลางเดือนตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนตกกระจายสม่ำเสมอตลอดช่วงฤดูปลูก 400-600 มิลลิเมตร
• ในสภาพนา ปลูกในช่วงฤดูแล้ง เดือนตุลาคม-ธันวาคม
• ในสภาพไร่ที่มีน้ำชลประทาน สามารถปลูกในช่วงดังกล่าวได้เช่นกัน

การเตรียมดิน
• ในสภาพไร่ ไถดะลึก 30-35 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7 วัน แล้วไถพรวนดินด้วยผาล 7 อีกครั้งหนึ่ง
• ในสภาพนา ไถดะลึก 20-25 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7 วัน แล้วไถพรวนดินด้วยผาล 7 อีกครั้ง ยกร่องปลูก อาจเป็นร่องสำหรับ ปลูกแถวเดียว หรือแถวคู่ โดยยกร่องกว้าง 1.5 เมตร

วิธีการปลูก
ระยะปลูก 75 x 25 เซนติเมตร หยอดเมล็ด 2 เมล็ดต่อหลุม ลึก 4-5 เซนติเมตร แล้วกลบหลุม ถอนแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุมหลังงอกแล้ว 10 วัน รวมประมาณ 8,533 ต้นต่อไร่

การดูแลรักษา

การให้ปุ๋ย
• ดินร่วนทราย หรือดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุต่ำกว่า 1.0 เปอร์เซ็นต์ ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่พร้อมปลูก (รองก้นร่อง หรือก้นหลุม) 25 กิโลกรัม และอีกครึ่งหนึ่งให้ครั้งที่ 2 ร่วมกับปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ โดยโรยข้างแถวแล้วกลบ เมื่อทานตะวันอายุ 20-25 วันหลังงอก หรือสูตร 16-8-8 อัตรา 60-70 กิโลกรัมต่อไร่ โดยแบ่งครึ่ง ครึ่งแรกใส่รองก้นร่องพร้อมปลูก และครั้งที่ 2 โรยข้างแถวแล้วพรวนกลบ เมื่อทานตะวันอายุ 20-25 วันหลังงอก
• ดินร่วนสีน้ำตาล ให้ปุ๋ยสูตร 20 – 20 – 0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 16-20-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมปลูก และที่อายุ 20-25 วันหลังงอก ให้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ โดยโรยข้างแถวแล้วกลบ
• ดินเหนียวสีดำ ให้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่ พร้อมปลูก รองก้นหลุม 25 กิโลกรัม และอีกครึ่งหนึ่ง ให้ครั้งที่ 2 โดยโรยข้างแถวแล้วกลบ เมื่อทานตะวันอายุ 20-25 วันหลังปลูก
• ดินเหนียวสีแดง ให้ปุ๋ยสูตร 20-20-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่พร้อมปลูก (รองก้นร่อง หรือก้นหลุม) 25 กิโลกรัม และให้ครั้งที่สองอีก 25 กิโลกรัมเมื่อทานตะวันอายุ 20-25 วันหลังงอก

การให้น้ำ
• ในสภาพนา หรือในสภาพไร่ การปลูกในช่วงฤดูแล้ง โดยการให้น้ำ ชลประทาน ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในปริมาณ 30-35 มิลลิเมตรต่อครั้ง ทุก ๆ 10-14 วัน และหยุดให้น้ำเมื่อสิ้นสุดระยะสร้างเมล็ด หรือประมาณ 20-25 วันหลังดอกบานแล้ว รวม 6-7 ครั้งตลอดฤดูปลูก
• ในกรณีที่ให้น้ำตามร่องระหว่างแถวปลูก ควรให้น้ำสูงระดับ 2 ใน 3 ของระดับความลึกของร่อง หลังให้น้ำแล้ว ไม่ควรปล่อยให้น้ำท่วมแปลงปลูก เกิน 24 ชั่วโมง

โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

โรคใบจุดหรือใบไหม้
เกิดอาการใบจุดเล็กสีน้ำตาลมีวงสีเหลืองล้อมรอบแผล จุดที่ขยายใหญ่มี รูปร่างไม่แน่นอน และทำให้เกิดใบไหม้ ต่อมาแผลจุดจะแพร่กระจาย ไปยังทุกส่วนของต้นทานตะวันที่อยู่เหนือพื้นดิน ตั้งแต่ใบ ก้านใบ ลำต้น กลีบเลี้ยง กลีบดอก และจานดอก เชื้อเข้าทำลายจากส่วนต่าง ๆ ของต้นทานตะวันแล้วแพร่กระจายขึ้นสู่ยอด ทำให้ต้นทานตะวันไหม้ แห้ง และแก่ก่อนกำหนด จานดอกเล็ก เมล็ดลีบ ผลผลิตต่ำ ควรกำจัดซากพืชที่ เป็นโรคด้วยการเผาทำลาย หรือนำออกจากแปลง

โรคเน่าดำหรือชาโคลรอท
ต้นทานตะวันที่มีการติดเชื้อจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ ใบเหี่ยวลู่ลงแห้งติดคาต้น ลำต้นส่วนที่ติดผิวดินเกิดแผลสีน้ำตาลดำลุกลามจากโคนต้นไปตามส่วนต่าง ๆ ของลำต้นและราก เมื่อผ่าดูภายในจะพบฝุ่นผงเมล็ดกลมเล็กสีดำหรือเทาดำกระจายอยู่ในเนื้อเยื่อพืชทั่วทุกส่วนและปิดกั้นขวางทางลำเลียงน้ำและอาหาร ทำให้ต้นทานตะวันเหี่ยวแห้งตายควรถอนและเผาทำลายต้น ทานตะวันที่เป็นโรคและไม่ควรปล่อยให้ต้นทานตะวันขาดน้ำรุนแรงในช่วงที่อากาศ ร้อนจัดและความชื้นในดินต่ำ

โรคใบหงิก
ใบหงิกงอเป็นรูปถ้วยหงายตั้งแต่ใบยอดลงมาจนถึงกลางต้น ด้านล่างใบจะพบลักษณะของเส้นกลางใบและเส้นแขนงโป่งพองจนเห็นได้ชัด บริเวณเนื้อใบจะมีเส้นใบฝอยสีเขียวเข้มกระจายทั่วไป ทำให้ใบหดย่น ต้นแคระแกร็นจนไม่สามารถให้ดอก ในกรณีที่ให้ดอก ดอกอาจมีรูปร่างผิดปกติเมื่อพบทานตะวันที่เป็นโรค ควรถอนออกจากแปลงปลูกและนำไปทำลาย และควบคุมการแพร่ระบาดของแมลงปากดูด ได้แก่ แมลงหวี่ขาว

แมลงศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

หนอนเจาะสมอฝ้าย
กินเมล็ดและเจาะจานดอก ทำให้ดอกเน่าเสียหาย การทำลายรุนแรง ผลผลิตจะเสียหายมาก ควรใช้สารไตรอะโซฟอส และคลอร์ไพริฟอส ฉีดพ่น

เพลี้ยจักจั่น
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยชอบดูดกินน้ำเลี้ยงที่ด้านใต้ใบ ทำให้ใบพืชหด หงิกงอ ขอบใบม้วนขึ้นด้านบน ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ขอบใบแห้งหรือใบไหม้ ผลผลิตลดลง ควรใช้สารคาร์โบซัลแฟน คลอไพริฟอส

การป้องกันกำจัดวัชพืช
• เก็บเศษซากวัชพืชข้ามปี ออกจากแปลง ก่อนปลูกทานตะวัน
• กำจัดวัชพืชโดยใช้แรงงานคน หรือเครื่องจักรกลเมื่อทานตะวันอายุ 20-25 วัน คลุมดินด้วยเศษซากพืชหรือฟางข้าวทันทีหลังปลูก
• ในกรณีที่การกำจัดวัชพืชด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อาจเลือกใช้วิธีพ่นสารกำจัดวัชพืช

การเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวทานตะวันตามช่วงอายุของพันธุ์ที่ปลูก หรือเมื่ออายุประมาณ 90- 120 วัน หรือหลังจากจานดอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วประมาณ 7-14 วัน โดยใช้กรรไกรตัดจานดอก โดยเลือกเฉพาะดอกที่สมบูรณ์

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
• นำจานดอกที่เก็บเกี่ยวแล้วตากแดด 1-2 แดด บนลานซีเมนต์ หรือตาก บนผืนผ้าใบและคลุมกองจานดอกทานตะวันด้วยผืนผ้าใบในเวลากลางคืน เพื่อป้องกันน้ำค้าง
• กะเทาะเมล็ดจากจานดอก โดยใส่จานดอกในถุงผ้า หรือกระสอบแล้ว ใช้ท่อนไม้ทุบ หรือใช้เครื่องนวดถั่วเหลืองที่ดัดแปลงแล้วความเร็วรอบ 200 -350 รอบต่อนาที
• นำเมล็ดที่กะเทาะแล้วไปตากแดด 1-2 แดด เพื่อลดความชื้นในเมล็ด ให้เหลือประมาณ 12-14 เปอร์เซ็นต์ แล้วทำความสะอาดเมล็ด
• บรรจุเมล็ดที่ได้ในกระสอบป่านที่ไม่ชำรุด สะอาด
• ตัดแต่งปากกระสอบให้เรียบร้อย และเย็บปากกระสอบด้วยเชือกฟาง
• ควรวางกระสอบที่บรรจุเมล็ดทานตะวันในที่ร่ม บนพื้นที่มีแผ่นไม้รอง

การขนส่ง
• ระหว่างการขนส่ง ไม่ควรให้เมล็ดทานตะวันถูกความชื้น
• รถบรรทุกต้องสะอาด และเหมาะสมกับปริมาณเมล็ดทานตะวัน
• ไม่ควรเป็นรถที่ใช้บรรทุกดิน สัตว์ มูลสัตว์ ปุ๋ยเคมี หรือสารป้องกัน กำจัดศัตรูพืช เพราะอาจมีการปนเปื้อน ยกเว้นจะทำความสะอาดอย่าง เหมาะสม ก่อนนำมาบรรทุก
• กรณีมีการขนส่งเมล็ดทานตะวันในช่วงฤดูฝน ต้องมีผ้าใบคลุม เพื่อป้องกัน เมล็ดทานตะวันถูกความชื้น และได้รับความเสียหาย

ปริมาณกรดไขมันในน้ำมันพืชที่สำคัญ

รายการ กรดไขมันไม่อิ่มตัว กรมไขมันอิ่มตัว กรดลิโนเลอิค
น้ำมันดอกคำฝอย

น้ำมันข้าวโพด

น้ำมันเมล็ดทานตะวัน

น้ำมันถั่วเหลือง

น้ำมันรำข้าว

น้ำมันงา

น้ำมันเมล็ดฝ้าย (นุ่น)

น้ำมันถั่วลิสง

น้ำมันปาล์ม

87

84

83

80

80

80

71

76

49

8

10

12

15

16

14

25

18

45

72

53

63

52

37

42

50

29

8

ที่มา : เสาวนีย์ จักรพิทักษ์. 2526.หลักโภชนาการปัจจุบัน.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช.

Posted in Uncategorized | Leave a comment

การทำนายนิสัยจากสีที่ชอบ 12 สี

สีฟ้า[ BLUE ] เป็นสีที่แสดงออกถึงความสบายตา สบายใจ ใครที่ชอบสีนี้เป็น คน SENSITIVE มาก ดูจากภายนอกจะเป็นคนสุขุม แต่ภายในแล้วกลับเป็นคนที่มีจิตใจหวั่นไหว ในเรื่องของความรัก ก็เป็นคนที่ชอบทำอารมณ์โรแมนติก รักเดียวใจเดียว และก็โกรธง่ายหายเร็ว

สีขาว [WHITE ] เป็นสีที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ อ่อนโยน คนไหนที่โปรดปรานสีนี้เป็นคนเรียบร้อย มีความมั่นใจในตัวเองสูง ในมุมมองของความรัก เป็นคนที่ มีความเป็นแม่บ้านสูง ความสะอาดสะอ้าน อาหารการกินเป็นสิ่งที่ชอบทำมากที่สุด

สีแดง [RED ] เป็นสีที่บ่งบอกถึงความร้อนแรง SENSITIVE มีความเชื่อมั่น ในตัวเองมาก ใจร้อน ก้าวร้าว และเปิดเผย เพราะเป็นสีที่แสดงออกถึงความตื่นตัวกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องของความรักจึงเป็นคนเปิดเผย จริงใจกับคนอย่างรักเต็มที่

สีเขียว [GREEN] เป็นสีที่บ่งบอกถึงความสงบ เยือกเย็น คนที่ชอบสีนี้จึงเป็น คนใจดี ใจเย็น ใจกว้าง รักความยุติธรรม ไม่ชอบเรื่องทะเลาะวิวาท มีสติปัญญาดี ส่วนในเรื่องของความรักเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอารมณ์โรแมนติกเท่าไหร่ จะรักแบบซื่อๆ ไม่หวือหวา ไม่สวีทเท่าที่ควร แต่ว่ารักใครแล้วรักจริงเปลี่ยนแปลงยาก WOW!

สีชมพู [PINK ] เป็นสีที่บ่งบอกถึงความอ่อนโยน อบอุ่น คนที่ชอบสีนี้จึงเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์โรแมนติก มีเสน่ห์ ฉลาด รอบรู้ ทันคน รักอิสระ ในเรื่องของความรักก็เช่นเดียวกัน จะเอาใจใส่เทคแคร์คนรักเป็นอย่างดีที่สุด จึงเป็นคนเปิดเผยมีความจริงใจกับคนรักอย่างเต็มที่

สีเหลือง [ YELLOW] เป็นสีที่สื่อถึงความมีชีวิตชีวา แจ่มใส คนที่ชอบสีนี้สื่อได้ว่าเป็นคนร่าเริง สดใส ชอบค้นหาอะไรใหม่ๆ ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เรื่องความรักถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ก็จะไม่ตกลงใจรับใครมาเป็นหวานใจ จนกว่าจะพิสูจน์ความเป็นเค้าให้ถ่องแท้แต่ก็มองโลกในแง่ดี และเชื่อใจคนง่าย

สีม่วง [PURPLE ] เป็นสีที่บ่งบอกความเศร้า เหงา แต่แฝงไว้ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพราะสีนี้บ่งบอกถึงคนที่เป็นได้ 2 อารมณ์ ในเวลาใกล้เคียงกันหรือ เวลาเดียวกัน ทั้งหัวโบราณยึดมั่นในขนบธรรมเนียม และในขณะเดียวกันก็เป็นคนชอบสังเกต มีปัญญา เฉลียวฉลาด รวมถึงเรื่องของความรักด้วย

สีดำ [BLACK ] เป็นสีที่บ่งบอกของความลึกลับ ปิดบัง ซ่อนเร้น คนที่ชอบสีนี้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ลึกลับ ยากที่จะเดาความรู้สึกได้ น่าค้นหา แฝงไว้ด้วยความSEXY!! บุคลิกมาดมั่นและมั่นคง แต่บางเรื่องที่ต้องตัดสินใจคนเดียวกลับลังเล เรื่องความรักก็จะชอบคนที่มีฐานะดีกว่า ดูสูงศักดิ์กว่า ถ้าเป็นเรื่องเรียน เรื่องงานก็จะชอบคนที่เรียนเก่งกว่า ทำงานเก่งกว่า

สีส้ม [ORANGE] เป็นสีที่บ่งบอกถึงความรักเพื่อน รักธรรมชาติ มีความคิดสร้างสรรค์ แปลก แหวกแนว มุ่งมั่นและทะเยอทะยาน เพราะสีส้มจะให้ความรู้สึก ที่สดใส ตื่นตัว มุมมองความรักของคนที่ชอบสีนี้ จึงมักมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ หวานใจบ่อยๆ และยังเป็นคนเปิดเผยอีกด้วย

สีน้ำเงิน [ DARK BLUE ] เป็นสีที่บ่งบอกความลึกลับ และมั่นคง คนชอบสีนี้เป็นคนที่มีรสนิยมหรู หยิ่งในศักดิ์ศรี มีกาลเทศะ บางครั้งก็ยากที่จะเดาใจถูก เรื่องความรักจะชอบคนที่มีพร้อมในทุกอย่างเช่น ฐานะ หน้าตา ชื่อเสียง เห็นเลือกมากอย่างงี้….. ก็มีรักเดียวใจเดียวเหมือนกัน

สีน้ำตาล [ BROWN ] เป็นสีที่สื่อถึงความหรูหรา มีรสนิยม คนที่ชอบสีนี้ จึงเป็นคนชอบแต่งตัว เพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น แต่ภายในค่อนข้างติดดิน มั่นคง รอบคอบ มีพลังในการต่อสู้ เวลารักใครจึงมักจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เค้ารักตอบ ชอบความสวยงามและถือเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่

สีเทา [ GRAY ] เป็นสีที่แสดงออกถึงความเป็นกลาง ความยุติธรรม และการเอาใจใส่ คนที่ชอบสีนี้จึงเป็นคนที่ชอบดูแล ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นได้ดี ใจเย็นรอบคอบ เวลาจะพูดอะไรก็จะไตร่ตรองก่อน จึงเป็นคนที่มีเสน่ห์ในการพูด มักได้รับความเชื่อถือจากคนรอบข้าง เวลามีความรักจะสามารถเอาใจใส่ TAKE CARE คนรักได้เป็นอย่างดี แต่จะไม่ชอบตีกรอบให้คนรักให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ เพราะคนที่ชอบสีนี้ค่อนข้างรักสันโดษ

Posted in Uncategorized | Leave a comment

แกงแคไก่

แกงแคไก่

เครื่องปรุง :
1. ไก่ (เอาแต่เนื้อ) 1 ตัว
2. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
3. ผักตำลึง 2 ถ้วย
4. ยอดมะพร้าวอ่อนซอย 1 ถ้วย
5. ผักเผ็ด 1 ถ้วย
6. ชะอม 1/2 ถ้วย
7. ถั่วพู 1/2 ถ้วย
8. ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วย
9. มะเขือพวง 1/2 ถ้วย
10. มะเขือกรอบ 1/2 ถ้วย
11. ใบชะพลู (หั่นหยาบ) 1/2 ถ้วย
12. ผักชีฝรั่ง (หั่นหยาบ) 1/2 ถ้วย
13. ผักขี้หูด 1/2 ถ้วย
14. เห็ดลม (หั่นหยาบ) 1/4 ถ้วย
วิธีทำ :
1. โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
2. เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น 1×1 นิ้ว
3. กะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพอร้อนใส่เครื่องแกง ผัดให้หอม
4. ใส่ไก่ลงไปผัดจนไก่นุ่ม ใส่น้ำซุป
5. ใส่ผัก พอสุกยกลง ถ้าอ่อนเค็มเติมเกลือ
เครื่องแกง :
1. พริกแห้ง 7 เม็ด
2. ข่า หั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
3. ตะไคร้ 2 ช้อนโต๊ะ
4. หอมแดง 6 หัว
5. กระเทียม 2 หัว
6. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
7. รากผักชี (ซอยละเอียด) 1 ช้อนชา ปลาร้าสับ (ปลาช่อนไม่เอาก้าง) 2 ช้อนโต๊ะ

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ประเทศอาเซียน

ประเทศอาเซียน

March 2, 2013

รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน
1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า “เนการาบรูไนดารุสซาลาม” มีเมือง “บันดาร์เสรีเบกาวัน” เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้

3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People’s Democratic Republic of Lao PDR)

เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์

10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ

ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งมีการวางกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างความเข็มแข็ง รวมถึงความมั่นคงของประเทศสมาชิกทั้งด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้วางแนวทางก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำขวัญคือ “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (One Vision, One Identity, One Community) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประชาคม คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community : APSC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community : ASCC)

โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. 2009-2015) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประชาคมอาเซียนประกอบด้วยเสาหลัก 3 เสา ดังต่อไปนี้

1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community – ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน โดย

มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน

กลุ่มสินค้าและบริการนำร่องที่สำคัญ ที่จะเกิดการรวมกลุ่มกัน คือ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ /อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน) กำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ โดยผ่อนปรนให้กับประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียตนาม สำหรับประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)

3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม

สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่น ๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในประชาคมอาเซียน

Posted in Uncategorized | Leave a comment

แกงฮังเล

แกงฮังเล

เครื่องปรุง
หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม
พริกแห้ง 7 เม็ด
หอมแดง 5 หัว
กระเทียม 2 หัว
ข่า 3 แว่น
ตะไคร้ 1 หัว
กะปิ เกลือ อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
ผงฮังเล 1 ซอง
ขิง 1 ขีด
กระเทียมดอง 4 – 5 หัว
ขมิ้นผงครึ่งช้อนโต๊ะ มะขามเปียกก้อนเล็ก น้ำตาลปีบ
น้ำปลาและรากผักชี

วิธีทำ
1. หมูสามชั้นหั่นเป็นสี่เหลี่ยมกะพองาม
2. หัวหอม กระเทียม กระเทียมดองผ่าครึ่ง แยกเตรียมไว้อย่างละครึ่งถ้วย
3. ขิงหั่นเป็นฝอยเตรียมไว้ ส่วนมะขามเปียกคั้นเอาแต่น้ำข้น ๆ แยกเตรียมไว้เช่นกัน
4. โขลกพริก หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ กะปิ เกลือ รากผักชีให้ละเอียด ใส่ผงกระหรี่ โขลกรวม
อีกครั้งหนึ่ง แล้วเคล้ากับหมู หมักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
5. นำหมูลงในหม้อแกง ใส่น้ำพอท่วมเนื้อหมู เติมขมิ้นผงคนให้ทั่วจนจำพอหอมสุกดี แล้วชิมรสดู
ให้มี 3 รส คือ เค็ม เปรี้ยว หวาน กะมีน้ำแกงเหลือขลุกขลิกแล้วยกลง ส่วนนี้จัดให้รับประทานได้
12 คน

ประโยชน์
แกงฮังเลเป็นอาหารที่นิยมรับประทานให้ครอบครัว และงานเลี้ยงของคนพื้นเมืองภาคเหนือ
และยังเป็นอาหารที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศนิยมรับประทาน โดยเฉพาะเป็นอาหาร
เป็นอาหารพื้นเมืองที่ใช้ในงานขันโตกดินเน่อร์ แกงฮังเลให้พลังงานจากเนื้อหมู

Posted in Uncategorized | Leave a comment